ไต้หวันครั้งที่ 2 กับการค้นหาสถานที่แปลกใหม่สวยงามรอบนิว ไทเป ซิตี้ หรือเมืองซินเป่ย พบกับความหัศจรรย์ของทัศนียภาพ ความมีสเน่ห์ทางวัฒนธรรม และรสสัมผัสอันยอดเยี่ยมของอาหารหลากหลายชนิดแบบจัดหนักจัดเต็ม ก็บอกแล้วไต้หวันครั้งเดียวมันไม่พอจริง ๆ
New Taipei City
โดยทริปนี้เราจะเที่ยวเป็นวงกลมรอบนอกไทเป กับหลายสถานที่น่าทึ่ง สวยงาม และสร้างความประหลาดใจให้เราได้ตลอดการเดินทาง ตลอด 5 วัน 4 คืน ถ้าเน้นเดินทางด้วยรถไฟหรือรถบัสจะประหยัดมาก ยิ่งพักโฮสเทลยิ่งดี งบแค่ 15,000 ก็เอาอยู่ (ไม่รวมตั๋วบิน) แต่ถ้านอนดีหน่อยแบบที่เราไปก็บวกเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งทริปนี้ตั๋วเครื่องบินกับที่พักผมจองผ่าน Traveloka ไม่ว่าจะจองผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นก็สะดวกมาก ๆ ขั้นตอนอันแสนง่ายดาย จ่ายเงินตัดบัตรเครดิตได้เลย มีตัวเลือกหลากหลาย แถมราคายังน่าคบอีกด้วย แล้วล่าสุดก็มีกิจกรรมเพิ่มเติมอีกมากมาย >> https://www.traveloka.com/th-th/activities
Wulai lao jie
เริ่มด้วยที่แรก ถนนคนเดินอู่ไหล ตั้งอยู่ในเขตซินเดี้ยน เป็นถนนคนเดินที่มีตลาดจำหน่ายอาหารหลากหลายชนิด จะเน้นไปที่อาหารพื้นเมือง เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าโบราณ ส่วนวิวนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะโซนนี้นั้นรายล้อมไปด้วยเทือกเขาและน้ำพุร้อนธรรมชาติ อากาศก็เลยเย็นสบาย
ที่อู่ไหลไม่ได้มีแต่คัลเจอร์ให้เสพ ถ้าต้องการธรรมชาติก็สมหวังได้ไม่ยาก แค่นั่งรถรางพื้นเมืองขึ้นไปชมน้ำตกอู่ไหลด้านบน พร้อมชมทิวทัศน์ระหว่างสองข้างทางแบบชิลล์ ๆ
วิธีการเดินทาง : อู่ไหลอยู่บริเวณเมืองนิวไทเป นั่งรถมาจากบริเวณสถานีซินเตี้ยนเพียง 30-40 นาทีเท่านั้น โดยรถบัสหมายเลข 849 ส่วนขากลับรถจะไปส่งที่สถานี Taipei Main Station ด้วย คือนั่งสุดสายไปเลย
Bitan feng jing qu
จากอูาไหล เราขอวาร์ปกลับเข้าไปในเมืองที่จุดชมวิวปี้ถาน สถานพักผ่อนหย่อนใจสำหรับทุกเพศทุกวัย ที่นิยมมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งถ่ายรูป เดินเล่น ปั่นจักรยาน ถีบเรือ หรือจะเดินข้ามสะพานไปเทรกกิ้งขึ้นเขาก็มีให้เลือก
เมื่อรู้ว่ามีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดิน มีจุดชมวิวให้ขึ้นไปพิชิต เราก็ไม่รั้งรอ เดินไปอย่างว่องไว ทางนั้นก็จะเป็นบันไดซะส่วนใหญ่ ระยะทางประมาณ 2 กิโล เดินเรื่อย ๆ แป้ปเดียวก็ถึง


ก่อนจะปิดท้ายวันด้วยการนั่งดินเนอร์ริมแม่น้ำ พร้อมชมน้ำพุเต้นระบำ ที่แสงสีเสียง จัดเต็มแบบไม่มีกั๊ก
ส่วนที่พักในคืนแรกของเรา คือ Cham Cham Hotel เป็นโรงแรมสไตล์โมเดิร์น ดีไซน์สวยงาม ห้องพักสะอาด สบายตา เหมาะกับการทิ้งตัวลงนอนจริง ๆ
พิกัด : https://goo.gl/maps/9Fmtidt3J8o
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.chamcham.com.tw/
จองผ่าน Traveloka >> https://www.traveloka.com/th-th/hotel
เช้าวันที่ 2 เราตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาหาของกินรองท้อง และตรงข้ามโรงแรมก็มีร้านเล็ก ๆ ที่น่าสนใจอยู่ร้านนึง ด้วยกลิ่นหอม ๆ ของแป้งโรตี จูงเราเดินเข้าร้านตอนไหนก็ไม่ทราบได้
เป็นร้านอาหารเช้าที่เสิร์ฟอาหารประเภทเส้น ราดด้วยซอสต่าง ๆ แต่เราสั่งเมนูโรตีทอด สอดไส้แฮมและผัก บอกเลยว่าถูกปากเรามาก ต้องลอง ร้านนี้แนะนำเลย อยู่ตรงข้ามโรงแรม Cham Cham
เมื่อท้องอิ่ม เราก็พร้อมเดินทางต่อ จุดหมายแรกของวันนี้ก็คือ “น้ำตกสือเฟิ่น” หรือไนแองการ่าแห่งไต้หวัน
Shifen Waterfall
บริเวณรอบด้านน้ำตก เราจะได้เจอกับความอลังการของธรรมชาติ ทั้งขุนเขา หน้าผา สายน้ำ ที่เผื่อแผ่ความสดชื่นมาให้เราอยู่ตลอดตั้งแต่ย่างกรายเข้ามา นอกจากนี้ยังมีเส้นทางให้เดินศึกษาธรรมชาติ พร้อมกับจุดชมวิวน้ำตกมากมาย
วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ TRA จากไทเปเมน มาที่สถานี Ruifang และซื้อ One day pass ที่สถานีรุ่ยฟาง และเปลี่ยนขบวนไป Pingxi Line สามารถจัดโปรแกรมมาผิงซีช่วงนี้ได้และช่วงบ่ายก็ไปเที่ยวจิ่วเฟิ่นต่อเลย
เที่ยวน้ำตกเสร็จ เราก็เดินทางมาอีกจุดไฮไลท์ของทริปนั่นก็คือ ถนนคนเดินสือเฟิ่น เป็นเส้นทางสายวัฒนธรรม ที่มีประเพณีขอพรปล่อยโคมจนโด่งดังไปทั่ว
Shifen Old Street
แต่ก่อนพื้นที่แถบนี้เป็นเส้นทางลำเลียงถ่านหินสมัยที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน สถานีรถไฟสร้างด้วยไม้ยังคงถูกรักษาไว้อย่างดี รวมถึงทิวทัศน์ของภูเขากับสะพานแขวน ก็เป็นจุดที่น่าสนใจในการถ่ายภาพ
เราเดินถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลินแล้วก็พบว่าที่นี่เหมือนตลาดร่มหุบที่สมุทรสงครามมาก เพราะสองข้างทางเป็นบ้านเรือน มีทางรถไฟคั่นกลาง แต่ไม่มีแม่ค้ามาหุบร่มแค่นั้นเอง สำหรับใครที่อยากจะปล่อยโคมก็สามารถมาอธิษฐานขอพร ปล่อยโคมกันได้เลย แต่ก่อนโคมจะมีสีเดียว แต่ปัจจุบันมีการแยกสีมากมาย 1 โคมมี 4 สี ขอได้ 4 เรื่องกันไปเลย ฮ่า ๆ
จากสถานีเดินมาเรื่อยจะมีร้านค้ามากมาย ทั้งของที่ระลึกและขนมท้องถิ่น ที่ควรติดไม้ติดมือกลับไปเห็นจะเป็นพวงกุญแจรูปโคมผิงซี ที่มีความเชื่อว่าเป็นเครื่องราง ทั้งเรื่องความรัก สุขภาพ การงาน ครอบครัว โดยแยกจากสีของโคมไฟครับ
วิธีเดินทาง : การเดินทางก็ง่ายอีกเช่นเคย นั่งรถไฟ TRA จากไทเปเมน มาที่สถานี Ruifang และซื้อ One day pass ที่สถานีรุ่ยฟาง และเปลี่ยนขบวนไป Pingxi Line แบบเดียวกับน้ำตกสือเฟิ่นเลยครับ
ชิลล์กันมามาพอแล้ว จุดหมายต่อไปเราจะไปลำบากกัน กับเส้นทางเทรกกิ้งเทรล ที่โคตะระสวย รวยด้วยทิวทัศน์สุดอลังการของภูเขาและท้องทะเล เป็นการเทรกกิ้งที่เราชอบและมีความสุขมาก
Tea Pot Mountain
Teapot Mountain เป็นภูเขารูปร่างคล้ายกาน้ำชา ซึ่งเราก็พยายามมองโดยรอบ มีอยู่หลายยอดเขา แต่ก็ยังดูไม่ออกว่าเหมือนกาน้ำชาตรงไหน ฮ่า ๆ สงสัยจะจินตนาการไม่ถึง
ระหว่างทางเดินขึ้นเราก็เจอทั้งนักเดินป่าและนักวิ่ง มาใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติท่ามกลางแดดเปรี้ยง ๆ คือวันนี้โชคดีมากที่ฟ้าเปิด ถ่ายรูปสวย เพราะปกติโซนนี้อากาศจะอึมครึมเกือบตลอดปี แต้มบุญเราเริ่มทำงานละ
พอเริ่มเดินขึ้นมาเรื่อย ๆ เราก็จะเจอกับเส้นทางแยกมากมาย ไปเขาลูกนั้นที ลูกนี้ที เชื่อแล้วที่ใครต่างบอกว่า ไต้หวันเป็นดินแดนแห่งการเทรกกิ้งจริง ๆ แถมวิวตลอดการเดินก็สวยจนเสียเวลาถ่ายรูปอยู่นานสองนาน เป็นความเหนื่อยที่คุ้มค่าเกินบรรยาย เป็นอีกที่ที่เราอยากกลับมาเดินให้ทั่วเลย
พิกัด : https://goo.gl/maps/EBBmPDJwEyC2
วิธีการเดินทาง :
นั่งรถบัสหมายเลข 6062 ลงที่ป้ายเหมืองทอง เดินทางเข้าไปที่เหมืองทองจะมีป้ายบอกทางไปเขาครับ
หลังจากเสียเหงื่อกันมามากพอ เราก็ได้เวลาไปเดินหาของอร่อย ๆ กิน กับเส้นทางสายวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยของกินและทัศนีภาพสุดตระการตา ถนนโบราณจิ่วเฟิ่น
Jiufen Old Street
ต้องยอมรับเลยว่าถนนสายนี้มีสเน่ห์เหลือล้นจนเราอยากจะฝังตัวอยู่สักคืนสองคืน ไม่ใช่แค่ของกินเยอะและหลากหลาย แต่ด้วยตึกรามบ้านช่องที่ยังคงรักษาความดั้งเดิมเอาไว้ โคมแดงที่ประดับบนทางเดินเป็นสิ่งที่ทำให้จิ่วเฟิ่นมีความน่าหลงใหลเป็นพิเศษ ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือมันตั้งอยู่บนภูเขา ทางเดินบางจุดต้องเดินไล่ระดับขึ้นลง วิวทิวทัศน์ก็งดงามจนอิจฉาคนที่นี่แบบสุด ๆ
ของกินที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นเต้าหู้เหม็น ที่ส่งกลิ่นโชยตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามา ถ้าไม่นับกลิ่น ผมว่ารสชาติมันค่อนข้างดีเลยนะ ต่างจากที่เคยกินที่เซี่ยงไฮ้ อันนั้นมันเรียลมาก นอกจกายี้ยังมีพวกลูกชิ้น บะหมี่แห้งโบราณ ขนมผักกาดไต้หวัน หรือจะเป็นชาไข่มุกหลายรูปแบบก็น่าลิ้มลอง
ผมเดินดุ่ม ๆ โดยไม่รู้จุดหมาย จู่ ๆ ก็มาโผล่อยู่ในตรอกนึง เดินลัดเลาะไปเรื่อยเหงนหน้าขึ้นมอง โอ้วแม่เจ้า! นี่มันมุมในฝันที่เราเคยเห็นในเน็ตนี่นา เป็นโรงน้ำชาที่วิวดีที่สุด Jiufen Tea House สามารถชมพระอาทิตย์ตกในมุมมอง 180 องศา ผมนี่แทบจะกรี๊ดกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
สำหรับแฟน ๆ ของ Studio Glibi ที่เคยดูผลงานอนิเมชั่นเรื่อง Spirit Away แล้วล่ะก็ คงจะคุ้นกับภาพด้านบนเป็นอย่างดี เพราะจิ่วเฟิ่นนั้นเป็นแรงบรรดาลใจในฉากต่าง ๆ ของเรื่องนี้นั่นเอง
วิธีการเดินทาง :
โดยรถบัส : ขึ้นแถวสถานี Zhongxiao Fuxing ออกมาทางออก 2 จะเจอจุดขึ้นรถหมายเลข 1062 นั่งรถไปจิ่วเฟิ่นใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ
โดยรถไฟ : ขึ้นรถไฟที่สถานี Taipei Main Staion /Nangnag Station จากนั้นนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Ruifang แล้วนั่งรถบัสขึ้นไปไม่นานก็ถึงครับ
โดยแท็กซี่ : เรียกได้แถวสถานี Zhongxiao Fuxing จะมีคุณลุงแท็กซี่มาเรียกแล้วหารเฉลี่ยกันไปได้เช่นกัน
ปิดท้ายวันด้วยการไปกินมื้อค่ำที่ร้ายบะหมี่เจ้าดัง ที่บอกเลยว่าเด็ด ถูกปากคนไทยสุด ๆ กับเมนูบะหมี่นานาชนิด ทั้งเนื้อ หมู ไก่ เครื่องในแบบครบเซ็ท โอยย พูดแล้วน้ำลายแตก
เราหอบท้องหนัก ๆ มานอนพักอยู่บนเตียงแสนนุ่ม ท่ามกลางการตกแต่งอันเรียบหรูสวยงามของโรงแรม Fourpoints by Sheraton พาให้เรานอนหลับอย่างสบายทั้งคืน
จองผ่าน Traveloka >> https://www.traveloka.com/th-th/hotel
พิกัด : https://goo.gl/maps/MTyqdmmHZMM2
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.fourpoints.com.tw/
เช้าวันใหม่ผลัดเวรมาแทนวันวาน ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะจุดหมายแรกที่เราจะไปคือ 1 ใน Hidden Place ของไต้หวันที่คนอยากมาเที่ยวมากที่สุด นั่นก็คือ Laomei Green Spurs & Grooves
Laomei Green Spurs & Grooves
เมื่อหินผาบริเวณที่ราบชายฝั่ง ถูกสาหร่ายขึ้นมาเกาะก่ายเรียงรายทอดยาวสุดสายตา ทำให้เกิดภาพความเขียวสุดมหัศจรรย์ธรรมชาติสร้าง ทำให้ที่แห่งนี้เป็นจุดถ่ายภาพที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะเวดดิ้ง
วันนี้เป็นวันแห่งการชมมหรสพทางธรรมชาติ หลังจากเราถ่ายรูปกันเต็มอิ่มที่ Laomei ในครึ่งวันแล้วไปแล้ว ช่วงครึ่งวันบ่าย เราจะเดินทางไปที่ Yehliu Geopark อุทยานหินทางธรรมชาติที่ดังมากในไต้หวัน
Yehliu Geopark
ภูมิทัศน์ของที่นี่เป็นชายฝั่งทะเล ที่มีแท่งหินรูปทรงแปลกตาขึ้นอยู่ทั่วอาณาบริเวณ ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นหินราชินี ที่ใครไปใครมาต้องมาต่อแถวถ่ายรูปกันยาวเหยียด
ลมทะเลโบกโชยโปรยความสดชื่นมาให้ ผมเดินถ่ายรูปอย่างสุขสมอารมณ์หมาย คลายความเหนื่อยล้าไปได้มากทีเดียว ยิ่งมาเห็นความสวยแปลกตาของธรรมชาติแล้ว ยิ่งอยากจะเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ให้นาน
วิธีการเดินทาง : นั่งรถบัสของบริษัท KuoKuang (เส้นที่จะไป Jinshan Youth Activity Center) โดยซื้อตั่วได้บริเวณประตู 3 ของสถานี Taipei West Bus Station – Terminal A รถบัสจะมาทุกๆ 20 นาที
วันธรรมดารถเที่ยวแรกเริ่มตั้งแต่เวลา 05:40 น. และรถเที่ยวสุดท้ายเวลา 23:00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ รถเที่ยวแรกเวลา 06:30 น. และรถเที่ยวสุดท้าย 23:00 น. ตั๋วราคา 96NTD ใช้เวลาการเดินทางราว 2 ชั่วโมง
พิกัด : https://goo.gl/maps/gejAKVK7GWG2
ส่วนที่พักของเราในคืนนี้อยู่ในเขตตั้นสุ่ย กับ Hotel Intrendy สวย เรียบ เฉียบ สบาย

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hotel-intrendy.com
วันที่สี่เราตื่นกันสาย ๆ ถ่ายรูปรอบ ๆ ที่พักก่อนจะไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านไก่ย่างที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่านตั้นสุ่ย นอกจากนี้ยังมีเมนูเด็ด ๆ อีกมากมาย
กินกันจนพุงกาง เราก็ออกเดินทางไปเสพกลิ่นอายทางประวัติศาสตร์กันที่ Fort San Domingo ป้อมและบ้านพักของทหารในยุคที่สเปนมายึดครองไต้หวัน ในช่วงปี ค.ศ. 1628
Fort San Domingo
และบริเวณด้านในยังมี Fort Antonio สร้างโดยชาวดัทซ์ในปี 1646 บริเวณโดยรอบมีวิวสวยงาม สามารถมองวิวที่ทะเลได้เป็นมุมกว้าง และเดินไปอีกเล็กน้อย จะพบกับ Little White House ซึ่งแต่ก่อนใช้เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนของกองทัพสเปนที่ยึดครองไต้หวัน
เราค่อนข้างชอบเฉดสีของอิฐที่กระทบกับเงาแดด บวกกับต้นไม้เขียว ๆ ที่ตัดกับท้องฟ้าสีเข้ม เป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีชีวิตชีวา สามารถเล่าเรื่องความหลังของสถานที่ได้เป็นอย่างดี
พิกัด : https://goo.gl/maps/XWMuM3kzRjv
Danshui Old Street
ช่วงบ่ายเรามากันที่ย่านตั้นสุ่ย ถนนคนเดินยอดฮิตที่เดินทางง่าย สะดวกรวดเร็วที่สุดในบรรดาถนนในเมืองนิวไทเป เพราะสามารถมาเที่ยวได้โดยรถไฟฟ้า MRT ก็ถึงเลยไม่ต้องต่อไปที่ไหน ที่นี่มีสินค้ามากมายให้เลือก มีอาหารทะเล ศาลเจ้าไหว้พระขอพร ท่าเรือข้ามฟาก และสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมาย
ถนนคนเดินตั้นสุ่ย เป็นเส้นที่ผมเดินแล้วชอบมาก มันดูชิลลืไปหมด ผู้คนหลั่งใหลกันแน่นขนัด แต่ไม่มีความเร่งรีบแม้แต่น้อย ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบเรียบ สองข้างทางรายล้อมด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ ร้านค้าร้านอาหาร สตรีทฟู้ดหลากหลายแนว มีให้เลือกกันจุใจ


นอกจากของกินแล้วที่นี่ยังมีวิวสวย ๆ สามารถยืนดูพระทิตย์ตกทะเลได้สบายมาก รวมทั้งเป็นเส้นทางปั่นจักรยาน ช่วงกลางคืนมีร้านนั่งชิลล์ค่อนข้างเยอะ ตามแนวเลียบแม่น้ำตั้นสุ่ย
วิธีการเดินทาง : สามารถมาเที่ยวได้โดยนั่งรถไฟฟ้า MRT สายสีแดง มุ่งหน้ามาที่ Tamsui ได้เลย https://goo.gl/maps/TzdaWecbFXG2
ที่พักคืนสุดท้ายของทริปนี้ คือโรงแรมสไตล์คลาสสิกที่มีชื่อว่า AP hotel (Asia Pacific Hotel)
ข้อมูลเพิ่มเติม www.aphotel.com.tw
วันสุดท้ายเราออกมาเที่ยวกันที่ย่านซานเสีย โดยเริ่มกันที่การเยี่ยมศูนย์เรียนรู้การทำผ้ามัดย้อมคราม พร้อมลงมือปฏิบัติจริง ใช่ ที่ไต้หวันมีการทำผ้าย้อมครามเหมือนบ้านเรา สีแบบหม้อห้อมที่แพร่เป๊ะเลย
Sanxia Blue Dye Workshop
ลวดลายของที่ไต้หวันก็จะไม่ต่างจากบ้านเรามาก แต่ของเขาจะมีความหลากหลายกว่า มีทั้งผลิตเป็นเสื้อผ้า ผ้าพันคอ กระเป๋า และเครื่องประดับต่าง ๆ ส่วนราคานั้นก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ก็ถือเป็นความรู้และประสบการณ์ใหม่ในการทำ D.I.Y. ในต่างแดนของเรา

ในละแวกใกล้เคียงมีร้านข้าวหมูทอดเจ้าดัง จุดหมายที่เราจะฝากท้องในมื้อเที่ยง คล้าย ๆ ทงคัตสึราดซอสแบบไต้หวัน อัดแน่นมาเต็มชาม หมูนุ่มหอมได้ที่ แต่อาจต้องขอซอสเพิ่มเพราะจืดไปนิดนึง
ก่อนจะกลับเมืองไทย เวลายังพอมี เลยมาแวะเดินเล่น ช้อปปิ้ง ไหว้พระที่ศาลเจ้า ที่ถนนโบราณซานเสีย เรียกได้ว่าทริปนี้เราได้ไปเดินถนนโบราณเยอะมาก ๆ นับแทบไม่ไหวเลย ฮ่า ๆ
Sanxia Old Street
ถนนโบราณซานเสีย เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปวัฒนธรรม โดยการตกแต่งนั้นจะใช้อิฐสีแดง เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ที่จำหน่ายสินค้าท้องถิ่น รวมทั้งขนมที่ไม่ใช่แค่พายสับปะรดเท่านั้นแต่ยังมีขนมปังเขาวัวที่มีหลากหลายรสชาติอีกด้วย
บริเวณรอบ ๆ นอกจากจะได้มาเดินชมสถาปัตยกรรมสวย ๆ แล้ว ยังมีวัดเก่าแก่แกะสลักสวยงามอย่าง Qingshui Zhushi Temple และประตูทางเข้าสีแดงใหญ่ Zhangfu และยังสามารถเดินเรื่อยๆ หรือนั่งรถบัสต่อไปยังถนนเซรามิคอันขึ้นชื่อของไต้หวันอย่าง Yingge Ceremic Street ได้ด้วย
วิธีการเดินทาง : เริ่มต้นจากสถานี MRT สายสีฟ้า Yongning จากนั้นขึ้นรถบัสหมายเลข 705,706 มาที่บริเวณ ถนน JiaoxiLi/Village ลงจากรถบัสแล้วให้เดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปที่ถนน Zhonghua 150-200 เมตรจะเห็นสะพาน Zhangfu
พิกัด : https://goo.gl/maps/QWhKXA4ZMM42
ก่อนจะลาจากทริปนี้กันไป เราขอพูดถึงการเดินทางในแต่ละวันกันหน่อย ทริปนี้เราได้รับคำเชิญจากทางรัฐบาลและการท่องเที่ยวไต้หวัน โดยได้รับการสนับสนุนและดูแลเป็นอย่างดีตลอด 5 วัน 4 คืน โดยวันแรกกับวันสุดท้ายเราเที่ยวแบบโปรแกรมทัวร์ ใช้รถบัสและรถตู้ของ Lion Express มีคนขับและไกด์คอยอำนวยความสะดวกและให้ข้อมูล
ส่วนในวันที่ 2-4 เราเที่ยวแบบไพรเวทคือการเช่ารถแบบมีคนขับ สะดวกสบาย อยากไปไหนก็ไป แวะจอดได้ทุกที่ที่ต้องการ คนขับสุภาพเป็นกันเอง รถใหม่ นั่งสบาย ทำให้การเดินทางของเราราบรื่นในทุกวัน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> http://bit.ly/2InSkqk
หวังว่าการเดินทางของเราในครั้งนี้ จะช่วยให้เพื่อน ๆ อยากมาเที่ยวไต้หวันกันมากขึ้นนะ เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยมนต์สเน่ห์ ทั้งมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม รวมทั้งอาหารการกินที่อุดมไปด้วยของอร่อย วีซ่าก็ไม่ต้องขอ ไปเถอะ มันดีจริง ๆ เรายังอยากกลับไปซ้ำอีกหลาย ๆ รอบเลย ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะที่ยังไม่ได้ไป ไว้เจอกันรอบ 3 แน่นอน!
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก www.flymetotaiwan.com ด้วยนะครับ