ได้ยินได้เห็นผ่านหูผ่านตามา 2-3 ปีเห็นจะได้ กับดินแดนโร้ดทริปที่สูงที่สุดในโลกอย่าง Leh Ladakh เขตปกครองพิเศษแห่งอินเดียเหนือ ที่เต็มไปด้วยอารยธรรมเก่าแก่ สะพรั่งไปด้วยศาสนสถานฉบับพุทธทิเบต เทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่ มีวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามอลังการ นับเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักเดินทางสายลุยจากทั่วทุกมุมโลก
ก่อนจะเริ่มเล่า ผมขอเกริ่นด้วยการเดินทางก่อนสักนิดนึง การจะไปเที่ยวเลห์ ลาดักห์ นั้นไม่มีเที่ยวบินตรงจากไทย ต้องนั่งเครื่องไปลงที่เดลีก่อน แล้วถึงจะต่อไปเลห์ได้ โดยผมเลือกบินกับการบินไทย เพราะชอบเป็นการส่วนตัว อาหารอร่อย ที่นั่งสะดวกสบาย การบริการก็ดี Cabin Crew ยิ้มแย้มน่ารักเป็นกันเอง บินแล้วรู้สึกสบายต่างกันเห็น ๆ
พอถึงเดลีในช่วงกลางดึกเกือบฟ้าสาง เราก็ทรานซิทเครื่องไปเมืองเลห์ด้วยสายการบิน Jet Airways ในเวลาเช้าตรู่ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เฉกเช่นกับผู้โดยสารอีกหลายคน ไม่มีเสียงพูดคุย จะได้ยินก็เพียงเสียงชัตเตอร์กล้องที่ถูกกดอย่างต่อเนื่อง ก็ตามที่เห็นนั่นแหละครับ
การมาเที่ยวที่นี่นั้นไม่ใช่ว่าสามารถเช่ารถแล้วขับไปไหนมาไหนเองได้นะ จะต้องมีการจองเอเยนต์ทัวร์ ที่ขายเป็นทริป โดยผมเลือกใช้ของบริษัท Exotique Repubic จองมาจากเมืองไทยเลย ดูแลและบริหารโดยคนไทย ซึ่งเขาจะประสานงานกับทางนี้ให้ทั้งหมด ทั้งเรื่องวีซ่า ไกด์ ที่พัก อาหารบางมื้อ รวมทั้งรถพร้อมคนขับด้วย เมื่อเดินทางมาถึงไกด์จะมารอเราที่สนามบินพร้อมเขียนป้ายชื่อต้อนรับเลย
Day 1
เราไปกันทั้งหมด 5 คน โดยแพ็จเกจที่คณะผมเลือกคือแบบ 8 วัน 7 คืน เรียกว่าจัดเต็มเที่ยวครบทุกรส แต่ก่อนที่จะเริ่มเที่ยวไกด์จะพาเราไปยังที่พักก่อน เพื่อพูดคุยถึงแพลนในทริปพร้อมให้เรานอนกลางวันพักผ่อนเพื่อปรับสภาพร่างกาย เพราะเนื่องจาก Leh เป็นเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,XXX เมตร ++ อากาศก็เบาบางและแห้งกว่าประเทศไทยหลายเท่า หากไปถึงแล้วเที่ยวเลยโดยไม่นอนพักก่อน อาจเป็นอันตรายได้ บางกรณีถึงกับเสียชีวิตก็เคยมีมาแล้ว ข้อควรปฏิบัติเมื่อมาถึงคือการเคลื่อนไหวร่างกายช้า ๆ อย่าวิ่งหรือทำอะไรเร็ว ๆ และควรดื่มน้ำให้มาก ๆ
ที่พักของเราคือ Goji Villa ตั้งอยู่ห่างจาก Leh Market ไม่ถึง 1 กม. จะเป็นเกรดเกสเฮ้าส์ ห้องพักดี สะอาด แต่อาหารเช้าต้องทำใจเพราะไม่อร่อย ควรเตรียมเสบียงเสริมมาจากไทยให้พร้อม ไวไฟพอใช้ได้ แต่ไฟฟ้าในโซนนี้ก็พร้อมดับตลอดเวลาเช่นกัน เอาแน่เอานอนไม่ได้ โดยเราจะพักอยู่ที่นี่ถึง 5 คืน สัมภาระเอาออกมาเทได้ตามสะดวก
กลางคืนอากาศจะหนาวมาก ๆ น้ำอุ่นก็มาแบบไม่เต็มที่ ต้องอาศัยสกิลวิ่งผ่านน้ำทุกวัน ฮ่า


หลังจากที่ได้นอนกลางวัน 2-3 ชม. ตื่นมาช่วงบ่ายแก่ ๆ ก็ได้เวลาของโปรแกรมวันแรก เราจะไปเที่ยวกันชิลล์ ๆ ยังสถานที่ใกล้ ๆ 3 แห่งเพื่อให้ร่างกายได้แอคทีฟปรับตัวเข้ากับพื้นที่สูงได้มากขึ้น
แค่วิวระหว่างทางก็เล่นเอาอ้าปากค้างกันเป็นแถว
Shanti Stupa
เริ่มกันที่แรก Shanti Stupa หรือเจดีย์สันติภาพ เป็นเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่ทรงระฆังคว่ำศิลปะแบบทิเบต มีฐานกลมวนรอบสองชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 โดย องค์กรพุทธศาสนาแห่งญี่ปุ่น (The Japanese of World Peace ) ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้ผู้คนทั้งโลกร่วมมือร่วมกันใจกันสรรค์สร้างสันติภาพ และถือเป็นการ ฉลองวาระครบรอบ 2,500 ปี แห่งพระพุทธศาสนาอีกด้วย โดยองค์ดาไลลามะ ได้เสด็จมาเป็นประธานเปิดพระเจดีย์ด้วยพระองค์เอง เจดีย์แห่งสันติภาพถูกสร้างไว้ทั่วโลกในลักษณะคล้ายคลึงกัน ทั้งในอินเดีย เนปาล ออสเตรเลีย อังกฤษ อิตาลี โปแลนด์ เกาหลี ญี่ปุ่น โดยเจดีย์สันติภาพแห่งแรกตั้งอยู่ที่ เมืองฮิโรซิม่า และนางาซากิ เมืองที่ถูกทิ้งระเบิดนิวเคลียร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
Shanti Stupa ตั้งอยู่บนเนินเขาเด่นสง่า ตรงลานเจดีย์นับเป็นจุดชมวิว 360 องศาที่สวยที่สุดจุดหนึ่งของเมืองเลห์ และที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเลห์อีกด้วย นับว่าเจดีย์สันติภาพคือหน้าประวัติศาสตร์หนึ่งของ การเรียกร้องสันติภาพให้แก่ชาวโลกเลยก็ว่าได้

Leh Palace
จากนั้นเราเดินทางไปกันต่อที่ พระราชวังเลห์ หรือ Leh Palace ที่อยู่ไม่ไกลมากนัก

Leh Palace เป็นหนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สําคัญของเขตลาดักห์ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1630 โดยกษัตริย์ Deldan Namgyal เพื่อเป็นที่ระลึกถึงกษัตริย์องค์ก่อนคือ Singge Namgyal และเป็นพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์ แคว้นลาดัคห์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1630-1830 ก่อนที่จะย้ายพระราชฐานไปยัง Stock Palace ในภายหลัง
พระราชวังเลห์มีขนาดความสูง 9 ชั้น ตั้งอยู่บนเนินเขาอย่างโดดเด่นที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากจตุรัส เมืองเลห์ กําแพงพระราชวังแข็งแรงด้วยโครงสร้างแบบหินที่ถูกฉาบด้วยทองแดงผสมทองคํา ภายในมีรูปปั้นพระศากยมุนีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้นลาดักห์ จุดเด่นของพระราชวังเลห์คือวิวทิวทัศน์ที่สวยงามในรูปแบบพาโนรามา ที่สามารถมองเห็นเมืองเลห์ได้จากที่สูงอันถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสูงสวยงาม
Leh Market
ปิดท้ายวันด้วยการไปเดินตลาดพื้นเมืองเลห์ ที่เต็มไปด้วยแหล่งขายสินค้านานาชนิดที่น่าสนใจอย่างมากมาย ทั้งสินค้าพื้นเมืองที่แปลกตา พ่อค้าแม่ค้าที่มีการแต่งกายแบบชาวเลห์และค้าขายตามวิถีชีวิตของเขาจริง ๆ โดยสินค้ามีตั้งแต่อาหารสด อาหารแห้ง ขนมหวาน พืชผักผลไม้ เครื่องประดับ เครื่องแต่ง กาย และอื่น ๆ อีกมายมาย เดินได้ไม่รู้เหนื่อย เพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ
ก่อนจะจบวัน เราควรวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อประเมินร่างกายในวันแรก ซึ่งโชคดีที่ปกติดีทุกคน
Day 2
วันแรกผ่านพ้นก้าวเข้าสู่วันที่สอง เป็นวันแห่งการเที่ยววัดและวิหาร ให้ได้เสพอารยธรรม ซึมซับวิถีชีวิตในแถบลาดักห์กันอย่างเข้มข้น เป็นการวอร์มก่อนจะไปลุยของจริงในวันถัด ๆ ไป

Indus River and Zanskar River
ก่อนจะไปถึงวิหารแรก เรามาแวะถ่ายรูปกันที่จุดสำคัญระหว่างทางกันก่อน นั่นก็คือจุดบรรจบกันของแม่น้ําสองสีคือสินธุและแม่น้ําซันสการ์ แม่น้ําสินธุมีต้นน้ํามาจากที่ราบสูงทิเบต โดยมีความยาวรวมมากกว่า 3,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว เป็นแม่น้ําที่มีความสําคัญต่อชาวอินเดียและปากีสถานอย่างมาก จนมีคํากล่าวที่ว่า แม่น้ําสินธุนั้นคือแม่น้ําแห่งชีวิตของชาวอินเดียและชาวปากีสถาน แม่น้ําซันสการ์มีต้นน้ํามา จากเทือกเขาซันสการ์ซึ่งถือเป็นอาณาเขตเร้นลับและงดงามที่สุดของเลห์ น่าเสียดายในช่วงที่ผมไป (เดือนกันยายน) น้ำนั้นน้อยไปจนแห้งเหือด ถ้ามาช่วงมิถุนา-กรกฎา จะสวยกว่านี้ครับ
Lamayuru Monastery
มาเริ่มกันที่แรก Lamayuru Monastery อารามนี้ถูกสร้างโดยหินทราย ตั้งอยู่บนภูเขาหินสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ําทะเล สามารถมองเห็นหุบเขาและ หมู่บ้านลามายูรูได้อย่างชัดเจน มีอากาศสดชื่นทัศนียภาพโดยรอบสวยงามจากภาพมุมสูง ภายในถูกตกแต่ง โดยศิลปะในแบบทิเบตดั้งเดิม ประดับประดาไปด้วยสีสันของภาพวาดตามฝาผนังต่างๆ เช่นรูปเทพารักษ์ รูป พระพุทธเจ้าขนาดเล็กจํานวนนับร้อยรูป รวมไปถึงภาพวาดทังก้าอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนาอย่างเช่น คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และเครื่องดนตรีต่างๆ
อารามถูกก่อตั้งในศตวรรษที่ 11 โดย Mahasiddhacharya Naropa เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายหมวกแดง ที่ใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในลาดักห์ มีอีกชื่อหนึ่งว่า ยุงตรุง ทาปาลิง กอมปา (Yungdrung Tharpaling Gompa) โดยยุงตรุงในภาษาทิเบต หมายถึง เครื่องหมายสวัสติกะ
Likir Monastery
ที่ต่อไปคือ Likir Monastery อารามลิกี้ห์ หรือ อารามกลู-กห์ยิล รร.สอนพระทิเบตน้อย อารามนี้มีการสร้างและตบแต่งในรูปแบบศิลปะของทิเบต ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 14 ชื่อของวัดแปลว่า จิตวิญญาณแห่งสายน้ํา และยังเป็นโรงรียนสอนพระทิเบตน้อยอีกด้วย อีกทั้งเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยะเมตไตรย์ ที่มีความสูงถึง 25 เมตร ประทับนั่งอยู่ กลางแจ้งสามารถมองเห็นเด่นสง่ามาแต่ไกลพระพักตร์ของพระพุทธรูปเปี่ยมเมตตา ดวงเนตรที่เปิดขึ้นเพียง ครึ่งเดียว เพ่งมองลงตำรากับจะประทานพรให้แก่เราผู้มาเยือนจากแดนไกลคือภาพลักษณ์เฉพาะตัวของวัดลิกี้ห์ที่ไม่เหมือนใคร
Basgo Castle
ช่วงบ่ายแก่ ๆ เราเดินทางต่อไปยังบริเวณเมืองหลวงเก่าของเขตลาดักห์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก และปราสาทดินแห่งนี้ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดของยุคนั้นโดยการก่อสร้างเป็นไปในรูปแบบการใช้ดินอัดเข้าหากันจนแน่นและ กลายเป็นโครงสร้างที่แข็งแรง ถูกสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์ Dharmaraja Jamyang Namgial ผู้เป็นพระราช บิดาและกษัตริย์ Singay Namgial ผู้เป็นพระราชบุตร โดยด้านบนสุดของยอดปราสาทสามารถมองชมภาพของพระศรีอริยเมตรัยที่ทําจากดินเหนียวสูงสามชั้น รวมไปถึงสามารถมองเห็นอาราม Basgo และเจดีย์ต่างๆ ในบริเวณนั้นอีกด้วย
Military Hall of Fame
ปิดท้ายวันด้วยการไปพิพิธภัณฑ์ของเมืองเลห์ ที่จัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวลาดัคห์และสัตว์พื้นเมืองต่างๆ รวมไปถึงข้อมูลสงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถาน บริเวณเมืองคาร์กิล และการใช้ชีวิตของทหารในช่วงฤดูหนาวอันหนาวเหน็บที่มีหิมะตกบนเทือกเขาหิมาลัย
Day 3
หลังจากเที่ยวสบาย ๆ เพื่อปรับร่างกายตลอด 2 วันเต็ม ๆ วันนี้ก็ได้เวลาออกไปเปิดโลกแอดเวนเจอร์แบบโร้ดทริปของจริง เดินทางผ่านเส้นทางอันหฤโหดสู่ไฮเวย์ที่สูงที่สุดในโลก “Khardungla Pass” พร้อมแวะชมวิหาร “Diskit Monastery” แล้วมุ่งสู่ Nubra Valley หุบเขาแห่งทะเลทรายและดอกไม้
Khardung La Pass
เส้นทางแห่งคาร์ดุงลา ถนนที่สูงที่สุดในโลก การเดินทางไป Nubra valley หรือหมู่บ้านนูบร้า ต้องผ่านเส้น ทางนี้ คาดุงลาพาส มีความสูงราว 5,600 เมตรจากระดับน้ําทะเล และรถจะขับผ่านจุดที่สูงที่สุดคือ The top of Chang la (ณจุดกึ่งกลางกม.ที่83) สามารถมองเห็นเทือกเขาคาราโครัมแห่งปากีสถานที่มีหิมะปกคลุม วิวสองข้างทางที่เราจะได้สัมผัสนั้น จะถูกฝังอยู่ในหัวเราไปตลอดชีวิต
Diskit Monastery
อารามดิสกิต ตั้งอยู่บนเนินเขาในบริเวณหมู่บ้านดิสกิต เป็นอารามในพุทธศาสนาแบบ ทิเบตนิกายหมวกเหลือง (Gelugpa) ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองและในภาคเหนือของอินเดีย อารามนี้ก่อตั้งโดย Changzem Tserab Zangpoในศตวรรษท 14
ในปี 1996 ชาวบ้านได้รวมรวบทุนทรัพย์ส่วนตัวบริจาคในการสร้างรูปปั้นองค์พระศรีอริยเมตตรัย ขนาด 12 เมตร นั่งตระหง่าน พระเนตรมองต่ำหันหน้าออกไปทางหมู่บ้านดิสกิต ราวกับจะคอยเฝ้ามอง ดูแลปกป้องผู้คนในหุบเขานูบร้าแห่งนี้ โดยมีองค์ดาไลลามะ ที่ 14 มาทําพิธีเปิดงานด้วยตัวพระองค์เอง
Nubra Valley
Nubra (นูบร้า) หมายถึงหุบเขาแห่งดอกไม้ เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์อันเป็นแหล่งปลูก Apricot แอปเปิ้ล และผล ไม้นานาชนิดของเลห์ ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาโคราโครัมซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างอินเดียและปากีสถาน มีแม่น้ําชย็อกไหลผ่าน อากาศเย็นสบาย ความสวยงามทางธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ และวิถีชีวิตของชาวเมืองยังคงดั้งเดิมอยู่มาก เพราะทางการอินเดียเพิ่งอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้เมื่อปี 1994 นี่เอง โดยกิจกรรมยอดฮิตคงจะหนีไม่พ้นการขี่เจ้าอูฐสองหนอกกลางทะเลทราย White Sand Dune นั่นเอง
หลังจากที่ได้ขี่อูฐ นอกจากประสบการณ์แปลกใหม่ที่ได้พบ ผมก็สังเกตได้ว่าจมูกของอูฐแทบทุกตัวมีรอยแผลฉีก บางตัวจมูกขาดวิ่นก็มี เนื่องมาจากคนเลี้ยงต้องบังคับมันเพื่อให้นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ นั้นได้ขี่ โอ้ว สะเทือนใจไปสิ ถ้ารู้แบบนี้ผมจะไม่ขี่เขาเด็ดขาด !!
ผ่านค่ำคืนอันสวยงามที่นูบร้า รุ่งขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราก็ออกเดินทางกันแต่เช้า เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางยอดฮิต เป็นไฮไลท์สำคัญของทริปที่ทุกคนต้องมา ใช่! ผมกำลังหมายถึง ทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลก Pangong Lake
Day 4
แต่ก่อนจะเดินทางไปถึง ระหว่างทางเราก็ได้พบกับเจ้าสัตว์ประจำถิ่นสุดน่ารักอย่างเจ้า Marmot (มาร์ม็อต) สัตว์สปีชี่เดียวกับกระรอกนี้ มีความตุ้ยนุ้ย ไม่กลัวคน บ้างก็มาเกาะ บ้างมาสะกิด แถมยังสู้กล้อง เป็นนายแบบนางแบบให้เราได้แชะไปหลายช็อต ก่อนจะผลุบ ๆ โผล่ ๆ ลงรูไป
Pangong Tso (Pangong Lake)
Pangong Lake คือทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ในอ้อมกอดของหุบเขาหลายสี เมื่อมองจากเส้นทางโดดเดี่ยวเวิ้งว้างด้านบน ภาพของทะเลสาบแปงกอง ค่อย ๆ เปิดเผยตัวเองทีละน้อย ก่อนผืนน้ําสีฟ้าใสราวกระจกขนาดมหึมาจะปะทะกับสายตาแบบเต็ม ๆ ภาพนั้นงดงามเกินกว่าความจริง เหมือนฉุดเราไปอยู่อีกดาวเคราะห์ เป็นโลกใบใหม่ที่เราไม่อาจเสียเวลาด้วยการกระพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว
ภาพด้านบนคือ 1 ใน 5 สมาชิกในทริปเรา เธอคือ “วอลนัท” นักร้องอิสระและนักเดินทางสาว เจ้าของเพจ “สายทริป” www.facebook.com/saithipsaitrip ลองกดเข้าไปอ่านรีวิวเลห์อีกมุมนึงของเธอ ที่มีทั้งความดิบเถิ่อน และเซอเรียลสุด ๆ กันได้เลยครับ
ทะเลสาบแปงกอง จึงถูกขนานนามว่า “น้ําตาแห่งหิมาลัย” เป็นทะเลสาบน้ํากร่อยกลางทะเลทรายบนเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 4,350 เมตรเหนือระดับน้ําทะเล และนี่ทําให้ที่แห่งนี้เป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลก หนึ่งในสามของพื้นที่ทะเลสาบตั้งอยู่ในแคว้นลาดักห์ ส่วนที่เหลืออยู่ในฝั่งทิเบต และที่แห่งนี้ยังเป็นทะเลสาบชายขอบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอีกด้วย
หลังจากที่พวกเราได้เริงร่าอยู่ในสวรรค์แห่งธรรมชาติ ก็ได้เวลาเดินทางกลับเมือง Leh ไปพักผ่อน หลังจากนั่งรถกันอย่างเมามันมาราธอน ซึ่งวันถัดไปจะเป็นวันแห่งการพักผ่อน นอนตื่นสาย ๆ ไปเที่ยววัดทิเบต เดินเล่นชิลล์ ๆ ในตลาด เป็นการรีชาร์จเพื่อรอโปรแกรมหนักในช่วงโค้งสุดท้ายของทริป
Day 5
Thiksey Monastery
อารามติกซี่ เป็นพระอารามใหญ่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขากลางทุ่งราบ ฉาบด้วยสีแดงและขาวเรียงรายลดหลั่นตามเนินเขานับร้อยหลัง มีกุฏิรายล้อมอยู่รอบอารามหลักสูง 12 ชั้น รูปทรงของวัดมีความคล้ายคลึงกับ พระราชวังโปตาลาจนได้รับฉายาว่า “โปตาลาน้อย” อารามนี้ได้รับการกล่าวว่างดงามที่สุดในแคว้นลาดักห์เลยทีเดียว
ผ่านพ้นไป 5 วันเต็ม เข้าสู่โค้งสุดท้ายของทริป เราทั้ง 5 คนก็ได้พบอุปสรรคใหญ่นั่นก็คือสภาพร่างกาย หลายคนเริ่มมีปัญหาระบบทางเดินหายใจจากอากาศแห้งและหนาวเย็น การโร้ดทริปในดินแดนแห่งนี้สิ่งที่จำเป็นมากนั่นก็คือผ้าบัฟหรือผ้าปิดจมูก เพราะระหว่างทางฝุ่นจะเยอะมาก ๆ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะป้องกันแค่ไหน ถ้าร่างกายปรับตัวตามไม่ทันก็ป่วยอยู่ดี ควรเตรียมหยูกยามาให้พร้อมนะครับ
Day 6
แม้ว่าร่างกายจะอ่อนปวกเปียก แต่การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป พักผ่อนให้เต็มที่ เพราะรุ่งขึ้นเราจะโร้ดทริปไปยังเส้นทางอันยาวไกล ข้ามฟากไปชมความอลังการของภูผาและทะเลสาบน้ำจืด Tsomoriri
ระหว่างทางไปโมริริ เลค นอกจากจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เวิ้งว้างแปลกตาคล้ายที่ราบสูงแถบมองโกเลียแล้ว ยังจะได้พบกับฝูงม้าป่าที่หาชมไม่ได้ง่าย ๆ อีกด้วย ความรู้สึกผมตอนนั้นคือจำได้ว่าอุทานกับสิ่งที่เห็นไปหลายดอก คือมันสวยจริง ๆ โคตรสวย ถ้ามาเลห์แล้วไม่มาที่นี่ถือว่าพลาดมาก ๆ
Tsomoriri (Moriri Lake)
ทะเลสาบน้ําจืดแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขา Rupshu (รุบซู) ที่มีภูเขาสูงกว่า 6,000 เมตรโอบล้อมรอบ ชาวท้องถิ่นเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด ที่นี่เรามีโอกาสจะได้เจอสัตว์น่ารักอย่างจ้ามาร์ม็อตอีกครั้ง หรือถ้าโชคดี อาจได้เจอสัตว์หายากอย่างหมาป่าทิเบตอีกด้วย
Lake View Hotel คือที่พักของเราในคืนนี้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า คนที่เข้ามาก่อสร้างโรงแรมที่นี่นั้นเขาต้องฝ่าฟันความยากลำบากมาขนาดไหน ต้องขนหินดินทรายผ่านหนทางที่เต็มไปด้วยอันตราย อากาศก็สุดจะหนาว สำหรับผมที่นี่นั้นหนาวที่สุดในเลห์ เพราะทำเลที่ตั้งนั้นอยู่บนภูเขาสูง โอบล้อมด้วยเทือกเขาเป็นแนวยาว มีทะเลสาบซึ่งรับลมเต็ม ๆ แต่อย่างว่าแม้จะทรมานแค่ไหน แต่มันก็คุ้มค่ากับการมาสัมผัสด้วยตัวเองดูสักครั้ง ดังภาพด้านบนคือวิวจากหน้าต่างห้องนอน
เป็นค่ำคืนอันหนาวเหน็บ หนาวจนเล็บแทบจะหลุด เรื่องอาบน้ำนั่นลืมไปเสียเถิด ขอซุกตัวในผ้าห่มข่มตานอนจนถึงเช้าเพื่อไปจิบชาร้อนเร็ว ๆ (จริงๆ อยากจะกระดกชาเสียด้วยซ้ำ แต่ลำไส้คงทะลุ) บางซีนที่ผมเล่ามานั้นไม่มีรูปถ่าย เพราะมันหนาวจนไม่อยากทำอะไรเลยจริง ๆ
Day 7
เช้าวันใหม่ดูสดใสขึ้นทันตา เมื่อรู้ว่าจะได้กลับบ้านแล้วโว้ยยยยย!! 555 คือมันก็มีความสุขกับการเดินทางนะ แต่ตอนนี้อยากกลับบ้านแล้ว แม้วิวจะสวยขนาดนี้ก็ตาม และแล้วการเดินทางในวันสุดท้ายก็เริ่มขึ้น กับการขึ้นไปถ่ายภาพวิวมุมสูง สามารถมองเห็นทัศนียภาพของ Moriri Lake แบบเต็มตา
ระหว่างทางกลับเมืองเลห์ เรายังคงแวะถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ เจอวิวสวย ๆ ก็จอดถ่าย นี่คือสเน่ห์ของโร้ดทริปที่การเดินทางแบบอื่นให้ไม่ได้ โดยก่อนกลับเราได้แวะจุดหมายสุดท้ายซึ่งเซอร์ไพรส์เรามาก ๆ นั่นก็คือทะเลสาบเกลือโซการ์ มหัศจรรย์ธรรมชาติสร้าง
Tsokar Lake
ทะเลสาบเกลือโซการ์ มีเอกลักษณ์พิเศษโดยมีสีครามเข้ม ท้องน้ําสงบนิ่งจนสะท้อนกับภูเขาที่อยู่รอบข้างลง ไปเป็นภาพสามมิติอันสวยงาม น้ําใสราวกับกระจก หากโชคดีอาจจะได้เห็นขบวนคาราวานของสรรพสัตว์ โดยเฉพาะนกน้ำหายากชนิดต่าง ๆ
ระหว่างทางแวะถ่ายรูปปิดท้ายทริปที่ Tanglangla Pass ก่อนจะกลับเลห์อย่างแฮปปี้เอนดิ้ง
เลห์ ลาดักห์ ยังคงเป็นเดสทิเนชั่นที่ผมต้องบอกว่า “ควรมาสักครั้งในชีวิต” ถึงแม้จะต้องอดทนกับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บและแห้งผาก หรืออาหารการกินที่ไม่น่าพิศมัยสักเท่าไร บางครั้งก็ต้องกินมังสวิรัติในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ ความถูกสุขอนามัยอาจจะหาได้ไม่มากนัก สิ่งเหล่านี้มันเทียบไม่ได้เลยกับความน่าหลงใหลของศิลปวัฒนธรรมและอารยธรรมโบราณ ความน่ารักของผู้คน รวมทั้งการแสดงมหรสพของธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่ ทั้งเทือกเขา ทะเลสาบ แม่น้ำ และท้องฟ้า จะให้บอกว่าสวยแค่ไหน ผมว่าคำตอบที่ดีที่สุดคือการที่คุณต้องลองออกเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง
ขอบพระคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ เอ็นจอยในการแพลนทริปนะครับทุกคน
เจอกันคอนเทนต์หน้า “ปากีสถาน” รับรองว่าโคตรเดือดดดด!!