ตะลอนเที่ยวฮอกไกโด ในฤดูใบไม้ร่วง ความงดงามที่มีเวลาจำกัด ขึ้นรถไฟ ลงรถบัส จากเมืองสู่ชนบท สัมผัสรสชาติการเดินทางแบบเข้มข้น พานพบผู้คนต่างภาษา สายตาทอดยาวมองเทือกเขาสุดตระการตา เป็นประสบการณ์ที่สนุกครบรสไม่รู้ลืม
ก่อนจะเข้าเรื่องเที่ยว จะขอเล่าถึงการเดินทางไปสนามบินก่อน ว่าครั้งนี้เราใช้บริการของ ที่จอดรถ.Com
แหล่งบริการที่จอดรถสำหรับคนเดินทางที่อยากขับรถมาเอง แต่ไม่อยากจอดสนามบินเพราะราคาสูง ที่นี่เป็นอีกทางเลือกที่ดีมาก ๆ สามารถจองวันเวลาเข้าออก พร้อมมีบริการรถรับส่งสนามบินอีกด้วย ฝากรถไว้กับที่นี่สะดวก ปลอดภัย ราคาเป็นกันเอง พนักงานยิ้มแย้ม มีให้เลือกทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย >> https://www.airxparks.com
ทริปนี้เราบินตรงกับนกสกู๊ต เวลาดีตี 4 บินไปถึงก็เที่ยง ๆ พร้อมเที่ยวได้เลย บินตรงตามเวลา ไม่โดนเท ไม่มีเลื่อนไฟล์ท นั่งสบาย ๆ จนถึงที่หมายหายห่วง
พนักงานต้อนรับยิ้มแย้ม คอยให้บริการดีมาก ๆ
นกสกู๊ต ใช้เครื่องบิน โบอิ้ง 777 ลำใหญ่ กว้างขวาง นั่งสบายกว่า เหยียดขาได้ยาว ไม่เมื่อย ไม่อึดอัด
มีเมนูอาหารให้เลือกหลากหลาย มาพร้อมกับบริการอันแสนประทับใจ
ทานอาหารเสร็จ ก่อนเครื่องจะแลนดิ้ง ก็ชมวิวทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสีผ่านหน้าต่าง จุดเริ่มต้นความฟินของทริปนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว
นกสกู๊ต มีบินตรงจากดอนเมือง-ซัปโปโร 4 วันต่อสัปดาห์, ดอนเมือง-โอซาก้า และ ดอนเมือง-โตเกียว ทุกวัน อยากเที่ยวซัปโปโร โตเกียวหรือโอซาก้าเมื่อไหร่ ให้นึกถึงนกสกู๊ต ดูข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ >> https://www.nokscoot.com/th
มาถึงวันแรก เรายังไม่ได้เริ่มไปเที่ยวที่ไหน เราขอติดรถรุ่นพี่ที่จะมาเมืองเดียวกันพอดี นั่นก็คือเมือง Asahikawa เมืองใหญ่อันดับสองรองจาก Sapporo ถือเป็นจุดศูนย์กลางในการเที่ยวภาคกลางและตะวันออกของเกาะ สามารถต่อรถไฟไปสายเหนืออย่าง Wakkanai ไปสุดเขตตะวันออกอย่าง Abashiri หรือ Kushiro ได้ รวมถึงยังใกล้กับเมืองที่เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอย่าง Biei และ Furano
อีกด้วย จะเช่ารถขับหรือนั่งรถไฟ รถบัส ก็มีบริการให้พร้อมเสร็จสรรพ โดยที่สถานี Asahikawa นั้นมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีขายแพ็กเกจโลคอลทัวร์ในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ สะดวกมาก ๆ
และการเดินทางในวันรุ่งขึ้นก็ได้เริ่มต้นขึ้น กับจุดหมายแรกบ่อน้ำสีฟ้า Blue Pond แลนด์มาร์กสำคัญอีกแห่งของฮอกไกโด ตั้งอยู่ในเขตรอยต่อของเมือง Biei และ Furano จะขับรถมาก็สะดวก หรือจะนั่งรถบัสมาจาก Asahikawa ก็มีให้เลือกตามใจชอบ
Shirogane Blue Pond คือชื่อเต็ม ๆ ของที่นี่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมาก เพราะน้ำที่บึงแห่งนี้มีสีฟ้าอมเขียวเทอร์ควอยซ์ ตัดกับใบไม้เปลี่ยนสี เป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย บลู พอนด์ นั้นจะสวยงามต่างกันไปแต่ละฤดูกาล อย่างช่วงหน้าหนาว ก็จะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด
ส่วนอากาศในช่วงที่เราไปคือเลขตัวเดียว (30 ตุลาคม 62) หนาวกำลังดี แนะนำให้ไปกับแฟน
เพราะต้องกอดคนข้าง ๆ เพื่อความอบอุ่น
การมาเยือน Shirogane Blue Pond จะถือว่ายังไม่สมบูรณ์ หากยังไม่ได้ไปชมน้ำตก Shirohige ที่ถือว่าเป็นสถานที่คู่แฝดที่อยู่ในอาณาเขตเดียวกัน บอกเลยว่าพีคมาก
ด้วยความที่น้ำตกนั้นไหลเป็นม่านลงสู่หน้าผา ผสานกับลำธารเล็ก ๆ สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ ผนวกกับวิวทิวทัศน์ของภูเขาและใบไม้เปลี่ยนสี เป็นภาพที่งดงามสุดจะบรรยาย
โดยจุดชมน้ำตกนั้นสามารถชมได้จากสะพานด้านบนเท่านั้น ไม่สามารถลงไปได้ อีกสิ่งที่ห้ามพลาดคือการกินไอศกรีมอันแสนอร่อย จากร้านที่ตั้งอยู่หัวสะพานเลยครับ
ระหว่างทางที่เรากำลังแล่นผ่านถนนสายธรรมชาติอันสวยงาม เหมือนถูกสะกดให้จอดรถถ่ายรูปซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะถึงที่หมายก็เล่นเอาครึ่งค่อนวัน อดใจไม่ไหว สวยมากจริง ๆ
ยิ่งเป็นทิวสนด้วยแล้ว ยิ่งสวย อลังการมาก
รถน้อยมาก จนไปเดินเล่นกลางถนนได้ แต่ก็อย่าประมาทนะ ต้องดูให้ดี ๆ ก่อน
การเริ่มต้นทริปวันแรกแล้วได้เจอกับธรรมชาติสวยงามจัดเต็มแบบนี้ ทำให้เรามีความสุขมาก และตื่นเต้นกับวันต่อ ๆ ไปที่จะมาถึง
วันที่ 3 ของทริป เราจะไปเที่ยวสวนสัตว์กัน โดยนั่งรถบัสจากสถานี Asahikawa ซื้อตั๋วในสถานีได้เลย รถบัสคนละ 450 เยน และตั๋วเข้าสวนสนุกคนละ 820 เยน
ถึงแล้ว Asahiyama Zoo สวนสัตว์ประจำเมืองที่โดดเด่นด้วยสัตว์สายพันธุ์ขั้วโลก ทั้งสิงโตทะเลแสนรู้ หมีขั้วโลกตัวยักษ์ และฝูงเพนกวินน้อยสุดน่ารัก รวมทั้งสัตว์อีกมากมายให้เราได้ชม
เจ๋งสุดเราขอยกให้พิพิธภัณฑ์สิงโตทะเล ที่มีตู้กระจกพร้อมอุโมงค์ให้เจ้าอุ๋งได้แหวกว่ายทักทายแขกผู้มาเยือน เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก ๆ น้องอุ๋งเล่นกล้องเป็นด้วย
ถัดมาเป็นมุมของพี่เบิ้มประจำสวนสัตว์ นั่นก็คือเจ้าหมีขั้วโลกตัวยักษ์นั่นเอง
เดินต่อมาเรื่อย ๆ ก็เข้ามาสู่อาณาจักรของเจ้าเพนกวิน
นี่เป็นสวนสัตว์ที่เราสามารถใกล้ชิดกับน้องได้มากขนาดนี้ เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมาก แต่ไฮไลท์สำคัญของที่นี่คือช่วงหิมะ จะมีขบวนพาเหรดให้เพนกวินออกมาเดินข้างนอกด้วย
Asahiyama เป็นสวนสัตว์ที่ไม่ใหญ่มากนัก เดินสบาย ๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น มีร้านค้า ร้านอาหารคอยให้บริการ เหนื่อยก็นั่งพักแล้วไปดูสัตว์ต่อ
สิงโต เสือดาวภูเขาสายพันธุ์หายาก ก็มีให้ชม
กวางฮอกไกโด หมาป่า แพนด้าแดง ก็มีครบ สุดยอดมาก
เรากลับมา Asahikawa ด้วยกล้ามขาที่อ่อนแรง เพราะเหนื่อยกับการถ่ายรูปมาทั้งวัน โดยที่สถานีนั้นติดกับห้าง Aeon Mall มีของกิน มีร้านอาหารเด็ด ๆ มีซุปเปอร์ ไม่อดตาย เราสองคนกลับมาพักผ่อน (นอนที่ Court Hotel Asahikawa อยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก เดินแค่ 300 เมตรเอง แถมยังราคาดี เรานอนกัน 3 คืน แค่ 2,500 บาทเท่านั้น
ตื่นเช้ามาพบกับบรรยากาศที่หนาวเย็นกว่าเดิม เป็นสัญญาณบอกว่าเราต้องย้ายเมืองแล้ว เพื่อมุ่งหน้าไปสู่อ้อมกอดแห่งขุนเขา เราเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปยังเมือง Kamikawa เมืองเล็ก ๆ ที่มีข้อมูลน้อยมาก แค่ลงสถานีมาก็เวิ้งว้างแล้ววววววว
พอถึง Kamikawa ให้เราเดินไปดูตารางรถบัส (ที่ญี่ปุ่นโดยมากที่สถานีรถไฟจะมีรถบัสคอยให้บริการไปยังจุดต่าง ๆ) ซึ่งจุดหมายของเราจริง ๆ คือ Sounkyo (โซอึนเคียว) รอไม่นานก็มีรอบรถบัส คนเมืองนี้อ่อนภาษาอังกฤษมาก เน้นพูดชื่อสถานที่กับภาษามือ หรือ Google Translate เวิร์คสุด
รถบัสนำพาเรามาถึงโซอึนเคียวในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง และหิมะแรกของเมืองก็ตกต้อนรับเราซะเลย
เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบมาก ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติไดเซ็ทซึซัง
เราเดินลากกระเป๋ากันมาจากสถานีรถบัส เพื่อไปยังที่พักที่เราจองไว้ Hotel Kumoi โดยห่างกันเพียง 2 นาทีเท่านั้น
เป็นโรงแรมที่คูลและอาร์ตมาก ห้องไม่ใหญ่ นอนฟูกนุ่มแบบญี่ปุ่น มีมุมพักผ่อนสันทนาการแบบคอมมูนิตี้ ฟีลเหมือนโฮสเทล มีจอฉายหนัง มีโต๊ะพูล และทีเด็ดคือออนเซ็น แบบแยกชายหญิง เอาไว้แช่ผ่อนคลายจากความหนาวภายนอก ฟินมาก ๆ
สองวันแรกเราทำอะไรไม่ได้มาก เพราะอากาศค่อนข้างแปรปรวน มีกระแสลมแรง ได้แค่เดินออกไปถ่ายรูปภายนอกนิด ๆ หน่อย ๆ แต่แค่นั้นก็ดีมาก ๆ ไม่ค่อยเจอคน เงียบสงบมาก ถือว่ามาพักผ่อนตากอากาศในโรงแรมเก๋ ๆ กลางป่าเขาก็ฟีลกู้ดมากแล้ว
เราเดินกลับมาโรงแรมด้วยร่างกายอันหนาวเหน็บ แต่ก็ถูกเยียวยาด้วยเซ็ทดินเนอร์ที่เราสั่งไว้ บอกเลยว่าจัดเต็มมาก อร่อยทุกอย่างสำหรับเรา ยิ่งได้ซดซุปดำร้อน ๆ กับเนื้อสไลด์นุ่ม ๆ โคตรสุด
หากใครมาเที่ยวเมืองโซอึนเคียวแบบเรา ขอแนะนำให้มาพักที่นี่ Hotel Kumoi จัดจ้านในย่านนี้สุดแล้ว
ถ้าสนใจ ลองเข้าไปดูข้อมูลในเว็บเค้าได้เลย https://www.hotelkumoi.com/home
เช้าอีกวันก็ใส่ยูกาตะลงมากินข้าว ได้ฟีลเจแปนนีสเข้าไปอีก
วันสุดท้ายในโซอึนเคียว กับบรรยากาศอันสดใส ฟ้าโปร่ง แบบนี้สิมาไม่เสียเที่ยว เพราะเราจะได้ขึ้นกระเช้าลอยฟ้า เพื่อไปยังยอดเขา Kurodake ที่มีหิมะปกคลุม พร้อมชมวิวธรรมชาติมุมสูงแบบเต็มตา
ซึ่งสถานีขึ้นกระเช้า ก็อยู่ห่างจากโรงแรมไม่ถึง 200 เมตร
เราใช้เวลาอยู่บนกระเช้าไม่กี่นาที แต่วิวระหว่างทางที่เห็นมันสุดยอดมาก
ถึงแล้ว ยอดเขาคุโรดาเกะ เป็นแหล่งเล่นสกียอดฮิตของเมือง แต่ตอนที่เราไปยังไม่เปิดให้เล่น
เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน สวยโดนใจเราสองคนมาก ถ่ายรูปกันไม่หยุดหย่อน เดินลัดเลาะไปตามทาง ขึ้นเนิน ผ่านผืนป่า ขึ้นไปชมวิวบนยอดสูง เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
สวยจนลืมความหนาวไปเลย
ได้ขึ้นไปมองเทือกเขาน้อยใหญ่ กลุ่มเมฆค่อย ๆ เคลื่อนผ่าน ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะ พลางคิดอะไรได้เพลิน ๆ ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้ขึ้นมาอยู่บนนี้ ได้เห็นภาพแบบนี้
แม้แต่ตอนลงกระเช้า สายตาก็กวาดไปมองผืนป่าที่อยู่เบื้องล่าง แม้ว่าใบไม้ส่วนใหญ่จะร่วงไปแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นภาพที่สวยงามและยิ่งใหญ่ จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป
พอลงจากกระเช้า เหมือนได้ตื่นจากภวังค์ เราสองคนรีบกุลีกุจอไปเอากระเป๋าที่โรงแรม แล้วลากไปรอรถบัส เพื่อกลับไปยังสถานี Kamikawa จากนั้นก็ต่อรถไฟเพื่อเข้า Sapporo
วันนั้นเราถึงซัปโปโรก็ค่ำแล้ว เลยไปหาอะไรกินแล้วพักผ่อน พรุ่งนี้เป็นทริปชิลล์ ๆ ไม่เร่งรีบอะไร
ความตั้งใจแรกของการมาซัปโปโร คือมาช้อปปิ้งก่อนกลับไทย แต่จนแล้วจนรอด หาข้อมูลไปมา ก็ไปเจอสวนศิลปะแห่งหนึ่งสวยโดนใจมาก นั่นก็คือ Moerenuma Park แล้วการเดินทางไปก็ไม่ยากด้วย
เราตื่นสาย ๆ ออกจากโรงแรมแล้วเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Nakajima Koen เมื่อเราเดินไปถึงสถานี ก็ได้แต่คิดในใจว่า กูต้องไป Moerenuma Park ช้าลงอีกเป็นชั่วโมงแน่ ๆ เพราะมันคือสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี ส้ม เหลือง แดง พรั่งพรูไปหมด เราเลยรัวชัตเตอร์กันไม่ยั้ง
พอถ่ายรูปกันเสร็จก็ได้เวลาลงสถานีรถไฟใต้ดิน จาก Nakajima สาย Toho Line ไปลงที่ Kanjo Dori Kigashi Station ราคาคนละ 250 เยน จากนั้นขึ้นไปรอรถบัสสาย 68, 69 หรือ 79 ไปลงที่สวนได้เลย ราคาอยู่ที่คนละ 210 เยน ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
ถึงแล้ว Moerenuma Park สวนศิลปะกึ่งสวนสาธารณะ ที่สวยงามและยิ่งใหญ่มาก
การจะเที่ยวในสวนนี้ให้สะดวกสบายคือการเช่าจักรยาน โดยคิดราคาชั่วโมงละ 100 เยน ถูกมาก ๆ
ไฮไลท์สำคัญของสวนนี้คือ The Glass Pyramid อาคารเรือนกระจกที่สร้างเป็นแลนด์มาร์ก ที่มีสถาปัตยกรรมเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายพิพิภัณฑ์ลูฟ ของฝรั่งเศส
ภายในนั้นมีเหลี่ยมมุมของความล้ำสมัย ให้เราได้ครีเอทมุมถ่ายรูปกันอย่างสนุก รวมทั้งเป็นสถานที่สำหรับนั่งพัก พบปะพูดคุยของเพื่อนฝูง หรือไปนั่งมองงานศิลปะเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานของเราได้อีกด้วย
มีลิฟท์แก้วเพื่อขึ้นไปชมวิวมุมสูง
หลังจากพากันเสพงานศิลปะกันจนอิ่ม เราก็พากันปั่นจักรยานออกไปสำรวจมุมอื่น ๆ ดูบ้าง
ส่วนมากจะเป็นงานสถาปัตย์ผสมผสานความเป็นธรรมชาติ สร้างเป็นสัญลักษณ์ที่มีนัยน์สำคัญบางอย่างที่เป็นงานศิลปะ ที่ทั้งทางขึ้นเขาไปชมวิวบนยอด มีพีรามิดขั้นบันได และงานประติมากรรมอีกมากมาย
สายอาร์ท สายดีไซน์ สายครีเอทีฟ ไม่ควรพลาดจริง ๆ
และแล้วก็หมดไปอีกวันและเป็นคืนสุดท้ายในฮอกไกโดแล้ว เวลาผ่านไปไว เผลอแปปเดียวผ่านมา 7 วัน
วันรุ่งขึ้นต้องบินกลับไทยแล้ว ซึ่งก่อนกลับ ช่วงเช้าเรารีบเดินจากโรงแรมไปตลาดปลานิโจ เพื่อไปหาของทะเลสด ๆ กิน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มีทั้งปูยักษ์ หอยนางรม และร้านอาหารท้องถิ่นสุดคลาสสิก
ทีเด็ดคือหอยนางรมตัวยักษ์สด ๆ ที่เปิดขายให้กินหน้าร้านกันเลย ตัวละ 400 เยน คุ้มมาก
ปิดท้ายด้วยการกินข้าวด้ง หน้ารวม ที่มีทั้งไข่ปลาแซลม่อนและไข่หอยเม่นสุดละมุนลิ้น
เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ซุกตัวอยู่ในตลาดปลานิโจ เราจำชื่อร้านไม่ได้ แต่คิดว่าอร่อยพอกันหมด
นี่เป็นอีกทริปสุดประทับใจของเรา ที่ได้ออกผจญภัยในโลกกว้างด้วยตัวเอง ได้ร่วมกันสร้างความทรงจำ ได้วางแผน ได้ผิดแผน ได้ช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ มันเพิ่มสกิลการใช้ชีวิตของเราให้แข็งแกร่งมากขึ้น นี่แหละข้อดีของการออกทริปต่างแดน ยิ่งเป็นญี่ปุ่นด้วยแล้วยิ่งประทับใจ กลับมาดูรูปทีไร ก็รู้สึกดีทุกครั้ง
แล้วพบกับการเดินทางครั้งใหม่ของเราอีกครั้ง เร็ว ๆ นี้ครับ