เติมเต็มประสบการณ์การพักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ แช่ออนเซ็นท่ามกลางป่าเขาและดอยสูง กับรีสอร์ทสไตล์เรียวกัง ที่ยกความเป็นญี่ปุ่นมาวางไว้อย่างแยบคายและสวยงาม ที่นี่ Onsen at Moncham จ.เชียงใหม่
Onsen @Moncham
แช่ออนเซ็นฉบับญี่ปุ่นขนานแท้
ท่ามกลางโลเคชั่นสุดงาม ม่อนแจ่ม จ.เชียงใหม่


หากเอ่ยถึงม่อนแจ่ม ภาพจำส่วนใหญ่คงจะหนีไม่พ้นหมู่บ้านชาวเขา ทุ่งดอกไม้งาม หรือบ้านพักบนดอยแสนเรียบง่าย กินหมูกระทะพลางประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะกับเพื่อนฝูง แต่หารู้ไม่ว่ายังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่งดงาม เต็มไปด้วยแร่ธาตุจากตาน้ำใต้พื้นดิน จึงเป็นที่มาของการสร้าง Onsen Ryokan Resort สุดหรู ที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงความครบเครื่องตามแบบฉบับญี่ปุ่น บอกเลยว่าการมาพักที่นี่ถือเป็น 1ในประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผมในปีนี้เลย


ขับรถเลียบริมเขามาอยู่ดี ๆ จีพีเอสก็บอกว่าใกล้ถึงที่หมายแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจ เราก็เหมือนเปิดประตูทะลุมิติหลุดมาอยู่ในญี่ปุ่นยุคโบราณซะแล้ว ภาพของม่อนแจ่มเมื่อสักครู่นี้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่สัมผัสได้ตอนนี้คือ เราอยู่ญี่ปุ่น สิ่งปลูกสร้างรอบด้าน การแต่งกายของพนักงาน เสียงของธรรมชาติที่ได้ยิน อากาศที่เย็นสบาย ทุกอย่างมันพาให้เราเชื่อได้หมด และรับรู้เลยว่า Onsen @Moncham ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นรีสอร์ทสไตล์ญี่ปุ่นเพียงเท่านั้น แต่ยังลงลึกถึงรากวัฒนธรรม ทำให้แขกผู้เข้าพักมีอารมณ์ร่วมตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาเช็คอิน อันนี้ผมขอชื่นชมจริง ๆ


ระหว่างรอห้องพัก ก็ไม่รู้สึกหน่ายเพราะเรามัวแต่ตื่นเต้นกับมุมถ่ายรูปต่าง ๆ ที่บอกเลยว่าจะสวยไปไหน มันน่ารักน่าหยิกไปทุกมุม ยิ่งบรรยากาศหลังฝนตกแบบนี้ มีหมอกมาลอยเอื่อย ๆ ให้ได้ชื่นตา ยิ่งทำให้เรามีความสุขตั้งแต่ยังไม่เข้าห้องเลยล่ะ



งานสถาปัตยกรรมที่เห็นแยบยลคมคายไปทุกเหลี่ยมมุมนั้นย่อมไม่ธรรมดา เพราะได้รับการออกแบบโดย อ.กฤษฎา โรจนกร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากปราสาทโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง


นอกเหนือจากงานสถาปัตยกรรมระดับปรมาจารย์แล้ว การจัดวางต้นไม้และสวนก็ทำออกมาได้ญี่ปุ่นสุด ๆ มีบ่อน้ำ มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน ท่ามกลางสีเขียวของต้นไม้ ตัดกับตัวอาคารสีเหลืองเทา ทำให้ถ่ายภาพออกมาแล้วยิ่งทำให้เชื่อเหลือเกินว่า ที่นี่คือญี่ปุ่น ไม่ใช่เชียงใหม่


เรายังคงสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูป อิ่มเอมไปกับการเสพงานศิลป์ผ่านโครงสร้างและพื้นผิวที่ให้รายละเอียดได้งดงาม ทำเอาตกหลุมรักตั้งแต่ยังไม่พ้นวันแรก

อีกความโดดเด่นน่ารักของที่นี่ ก็คือเจ้าเป็ดสุดคิวท์ฝูงนี้ ที่คอยเดินเล่นพะเน้าพะนอทักทายเหล่าอาคันตุกะผู้มาเยือน พร้อมว่ายน้ำเข้าเฟรมเหมือนรู้งานยังไงยังงั้น



ก่อนจะเข้าห้องพัก เราขอจัดมื้อเที่ยงวอร์มกระเพาะอาหารสักหน่อย ที่ซุ้มราเมงแบบญี่ปุ่น ด้วยเมนูเด็ดคือราเมงหมูชาชู และข้าวเทริยากิแซลม่อน โดยมีเซฟมาปรุงให้เรากินต่อหน้า บอกได้เลยว่าทั้งรสชาติและปริมาณนั้นถอดแบบมาจากแดนอาทิตย์อุทัยต้นตำรับมาไม่มีผิด


ได้เวลามาสำรวจห้องกันแล้ว โดยเราขอแนะนำห้อง GRAND IMPERIAL ONSEN SUITE ที่มาพร้อมกับออนเซ็นส่วนตัว สามารถแช่ได้ตามใจผ่อนคลายได้ทั้งวัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือเขินอายเมื่อต้องแช่ร่วมกับผู้อื่น

อีกสิ่งที่เตะตาคือลวดลายของอ่างล้างหน้า ที่เป็นดอกไม้แสนงดงาม ซึ่งผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ท บรรจงวาดด้วยมือของตัวเอง แถมยังซ่อนความเป็นท้องถิ่นด้วยการนำเอาลวดลายของชนเผ่าม้ง มาทำเป็นซองใส่อุปกรณ์ทำความสะอาดผิวอีกด้วย ทำให้เกิดความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่า ที่นี่ก็ยังคือเชียงใหม่นะ
ถัดจาก GRAND IMPERIAL ONSEN SUITE เราก็เข้ามาพักที่ห้องของเรา นั่นก็คือ GRAND TERRACE SUITE ที่มีระเบียงกว้าง มองเห็นวิวสวนและทิวเขา ภายในตกแต่งแบบเรียวกังเหมือนกันทุกห้อง คือไม่มีเตียง จะนอนบนฟูกนุ่ม ๆ และหมอนนิ่ม ๆ พื้น ผนัง เพดาน ใช้ไม้เป็นวัสดุ มีภาพวาดตกแต่งได้ฟีลความเป็นญี่ปุ่นแบบขั้นสุดไปเลย


ที่เจ๋งคือมีชุดยูกาตะให้ใส่ สามารถเดินได้ทั่วรีสอร์ท โดยจะเป็นสีทองคาดดำ มีคลาสหรูดูแพง ภายในห้องนั้นมีดีเทลอีกหลายอย่าง แต่ที่ชอบมากคือเครื่องพ่นไอน้ำอโรม่าที่ผลิตกลิ่นหอม ๆ สร้างบรรยากาศคลอเคล้าในห้อง รวมทั้งลูกสนที่เป็นพร็อพตกแต่งให้ไม่ลืมความเป็นภาคเหนือนั่นเอง


ระเบียงเปิดกว้าง วิวดีมาก

มีมุมให้จิบชา พร้อมกับลำไย ผลไม้ประจำฤดูกาล

แสงอาทิตย์เริ่มริบหรี่ ก็ได้เวลาเดินมาที่ห้องอาหารเย็น ที่ออกแบบได้โปร่ง โล่งสบาย พร้อมกับวิวทุ่งนาและภูเขา อิ่มเอมไปกับอาหารญี่ปุ่นและอาหารไทยท้องถิ่น โดยเราเลือกรับประทานเป็นยาคินิคุปิ้งย่าง แต่ถ้าใครชอบซดน้ำ ก็สามารถเลือกเป็นชาบูได้เช่นกัน

ส่วนผลไม้ก็จัดมาได้อย่างน่ารัก ของหวานอย่างโมจิสตรอเบอร์รี่ก็ทำให้สดชื่นได้ไม่เบา

กลับเข้าห้องมา ก็เจอกับความใส่ใจที่แสนอบอุ่น ด้วยการ์ดที่บอกถึงสภาพอากาศในวันพรุ่งนี้ ให้เราได้เตรียมพร้อมวางแผนสำหรับวันต่อไป พร้อมอวยพรให้เรานอนหลับฝันดี
ก่อนออกไปแช่ออนเซ็น แวะมาทานมื้อเช้าพอกรุบกริบ


และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ที่สำคัญที่สุด คือการใช้บริการแช่ออนเซ็น ที่จะเปิดให้บริการ 8 โมงเช้า โดยมีฝูงน้องเป็ดเดินมาส่งเราถึงทางเข้าด้วย

ที่นี่จะแบ่งเป็นโซนชายและหญิงแยกออกจากกัน ไม่อนุญาตให้แช่รวมกันโดยเด็ดขาด ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ถอดแบบมาจากที่ญี่ปุ่นทั้งหมด ใครเคยไปแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่นแล้วชอบ คุณก็จะชอบที่นี่ด้วยเช่นกัน
การออกแบบของบ่อนั้นสวยงาม สามารถมองเห็นวิวภายนอกได้


โดยขั้นตอนแรกเราต้องอาบน้ำถูสบู่ ชำระล้างร่างกายตรงหน้าบ่อเสียก่อน สำหรับโซนคุณผู้หญิงจะมีกางเกงในใช้แล้วทิ้งให้ใส่ตอนแช่ ส่วนโซนคุณผู้ชายจะต้องแก้ทั้งหมด
จากนั้นลงไปแช่บ่อ Indoor เป็นเวลา 15-20 นาที ให้ร่างกายได้ปรับตัวและผ่อนคลาย


ต่อด้วยการออกไปแช่บ่อ Outdoor ท่ามกลางสวนสวย ให้เราได้ดื่มด่ำทำสมาธิกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ โดยอุณหภูมิจะสูงกว่าบ่อภายใน แต่ความรู้สึกไม่ต่างกันเพราะอากาศภายนอกนั้นเย็นกว่านั่นเอง โดยจะใช้เวลาในบ่อนี้ 15-20 นาทีเช่นเดียวกัน
จากนั้นตามด้วยการขึ้นไปแช่ออนเซ็นในอ่างไม้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะแบ่งเป็น 2 อ่าง โดยให้เริ่มแช่ที่อ่างร้อน 15 นาที แล้วปิดท้ายด้วยอ่างเย็น เพื่อเป็นการปรับสมดุลให้ร่างกาย


เป็นการเติมเต็มการพักผ่อนที่สุดยอดครั้งหนึ่งในชีวิต ที่นอกเหนือจากเสพวิวและสถาปัตยกรรมสวย ๆ แล้ว เรายังได้มาฟื้นฟูผิวกายและระบบไหลเวียนเลือด ด้วยแหล่งน้ำธรรมชาติที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุอีกด้วย

หลังจากใช้บริการเสร็จ ก็ออกมาจิบชา เพิ่มความฟินไปอีกระดับ
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าพักในรีสอร์ท ก็สามารถเข้ามาใช้บริการออนเซ็นแห่งนี้ ร่วมทั้งรับประทานอาหารได้ด้วย โดยผู้ที่ไม่ได้พักในรีสอร์ทจะสวมใส่ยูกาตะสีดำ เพื่อความแตกต่างอย่างชัดเจน


นี่เป็นอีกครั้งกับการมาพักในรีสอร์ทที่สร้างความประทับใจ ทั้งโครงสร้างสถาปัตยกรรม สตอรี่ของพื้นที่ ทัศนียภาพรอบด้าน การนำเอาวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาผสมกับความเป็นไทย ห้องพักที่มาตรฐานสูง การบริการ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ถือเป็นรีสอร์ทที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้ Retreat จริง ๆ Retreat ตั้งแต่กายภาพไปจนถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียว
สอบถามและจองห้องพักได้ที่ >> http://www.onsenmoncham.com
Like this:
Like Loading...