ขับรถเที่ยวเชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน พาร่างกายและหัวใจไปกระแทกความสุข ผ่านไอหมอก ป่าเขา พร้อมมิตรภาพของกันและกัน รวมทั้งเก็บเอารอยยิ้มของผู้คนที่พบเจอมาไว้ในความทรงจำ ในสถานที่ที่เราคัดสรรมาให้คุณผู้อ่านได้เติมเต็มอรรถรส และพร้อมจะออกเดินทางไปตามรอยเส้นทางของเราครับ
ทริปนี้เราแพลนล่วงหน้าไว้ค่อนข้างนาน โดยเลือกจองตั๋วผ่าน Traveloka เพราะสะดวก ดูไฟลท์ง่าย โดยมาลงล็อคที่ Vietjet Air มีเที่ยวบินให้เลือกเยอะดี จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ กับ Traveloka คลิกจอง > https://www.traveloka.com/th-th/flight/to/Chiang-Mai.CNX
พอถึงเชียงใหม่ เราก็รอรถเช่าที่ดีลไว้เรียบร้อย และแน่นอนว่าก็ใช้บริการจาก Traveloka เช่นเคย หลายคนอาจยังไม่รู้ เพราะนี่คือบริการใหม่ของเขา พิเศษตรงที่สามารถเช่าได้ล่วงหน้า จะเช่าแบบมีคนขับก็ได้ หรือจะขับเองก็ได้ แถมราคาไม่แพง เริ่มต้นไม่เกิน 600 บาทต่อวัน มีความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย นัดคืน-รับรถที่สนามบินได้
เช่ารถเชียงใหม่กับ Traveloka จองเลย > https://www.traveloka.com/th-th/car-rental/city/chiang-mai
หลังจากลงเครื่องตั้งแต่เช้า รับรถเสร็จ เราก็ต้องหากาแฟดื่ม พอดีมีคาเฟ่เปิดใหม่นามว่า Flat Cafe ตรงศรีวิชัยซอย 4 ที่ได้ข่าวว่าร้านเปิดเช้า เอาใจวัยทำงาน แถมยังดีไซน์ได้มินิมอลสุดคลีน เกาหลีมาก ๆ
ร้านคลีนสะอาดตา เครื่องดื่มกับขนมก็รสชาติเป็นเอกลักษณ์
เรานั่งละเลียดปล่อยเวลาให้ไหลไปสักพัก ก่อนจะเข้าไปเช็คอินเข้าที่พัก The Inside House หนึ่งในโรงแรมที่ร้อนแรงที่สุดของเมืองเชียงใหม่นาทีนี้
Happiness comes from inside.
“ความสุขออกมาจากข้างใน” นั่นคือคอนเซ็ปต์หลักของโรงแรมใจกลางเมืองเชียงใหม่ ที่มีชื่อชวนค้นหา … The Inside House เพียงไม่กี่นาทีที่สองเท้าย่างเก้าเข้ามา ก็รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย จากแววตาท่าทางของพนักงานต้อนรับ การพูดจาที่ฉะฉานจริงใจและน่าฟัง รวมไปถึงบรรยากาศอันร่มรื่นของเหล่าพฤกษา
โดยเฉพาะต้นโพธิ์เก่าแก่ ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าอาคาร ทำให้ใจรู้สึกสงบเหมือนอยู่บ้าน
ประกอบกับการผสมผสานงานสถาปัตยกรรม Lanna Colonial Style แบบยุค 1920′ ที่ดูโก้หรู คลาสสิก ดั่งผู้ดีในตระกูลชั้นสูงนอกเหนือจากดีเทลการตกแต่ง ที่มีความวิจิตรงดงามแล้ว การจัดการพื้นที่ในอาคารก็สามารถทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจโดยสร้างห้องสไตล์ Pool Suite ไว้ถึง 13 ห้อง
ซึ่งเราได้พักห้องที่ขายดีและจองยากที่สุดอย่าง Doi Suthep Pool Suite ที่มีจุดขายอยู่ที่สระว่ายน้ำตรงระเบียง ที่สามารถเปิดโอเพ่นแอร์แช่น้ำชมวิวทิวเขาและดอยสุเทพที่อยู่ลิบ ๆ ได้ ด้านงาน Texture นั้นจะเน้นใช้หินอ่อนเป็นหลัก ทำให้ดูหรูหราเว่อวัง โดยเลือกใช้สีขาวและสีเขียวมะกอกมองแล้วรู้สึกคลีน ๆ สบายตา (อันนี้จากความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)
การต้อนรับด้วยผลไม้สดและแชมเปญในห้องคือ First Impression แรกที่เรารู้สึกตกหลุมรักห้องนี้เข้าอย่างจัง จากนั้นก็สั่ง Afternoon Teaที่จัด Presentation ออกมาได้น่าทึ่งอึ้งมากที่พลาดไม่ได้คือการสั่ง Floating Breakfastชุดใหญ่มากินกันเริ่ด ๆ ในสระ จากนั้นก็จัดแจงคอมโพสต์ถ่ายภาพกันแบบ Nonstop
ใครจะคิดว่ากลางเมืองเชียงใหม่จะมีที่พักลักษณะนี้ซ่อนตัวอยู่ ยิ่งออกเดินทางเราจะยิ่งค้นพบสถานที่ดีต่อหัวใจมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่นี่ The Inside House จะเป็นจุดหมายที่ติดอยู่ในความทรงจำของเรา ไปอีกนานแสนนาน …
วันรุ่งขึ้น เรามีโปรแกรมมุ่งไปที่แม่ริม ม่อนแจ่ม แต่ก่อนอื่นขอเสาะหาคาเฟ่ใหม่ ๆ ไปปลีกวิเวกนั่งชิลสักพัก จนกระทั่งมาเจอชื่ออันแสนสะดุดตาของร้านนี้ Enough for Life คาเฟ่สไตล์วินเทจเกาหลี
ภายในเป็นเหมือนบริเวณบ้าน มีต้นไม้ร่มรื่น เน้นงานวัสดุจากไม้ ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูน่ารักไปหมด เมนูที่ต้องสั่งคือ Enough Coffee กาแฟสูตรเกาหลี สำหรับผมนี่คือกาแฟที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่เคยดื่มมา
ที่สำคัญเขามีมุมถ่ายรูปเพียบเลยนะ ใครสายมินิมอล คงจะชอบมาก นอกจากนี้ยังมีงานแฮนเมด งานคราฟท์เก๋ ๆ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนต่าง ๆ วางจำหน่ายด้วย
พอเลยเที่ยง เราก็รีบบึ่งรถมาที่ม่อนแจ่มกันทันที เพื่อไปซุกตัวอยู่บนเขาท่ามกลางธรรมชาติ โดยมีที่พักที่ชื่อว่า บ้านภูหมอก เป็นสถานที่พำนัก
บ้านภูหมอก ที่พักที่อยู่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในบริเวณนี้ เป็นตัวเลือกที่เราสนใจ เพราะมีความเป็นส่วนตัว แยกออกจากที่พักอื่น ๆ อย่างชัดเจน มีวิวภูเขาที่สวยงามรอบด้าน พร้อมกับแปลงผักกาดกว้างใหญ่ มองไปทางไหนก็น่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด
ตกค่ำก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศเย็น ๆ ชื้น ๆ ปิ้งหมูกระทะ ซดน้ำร้อน ๆ เป็นความอภิรมย์ที่เอาอะไรมาแลกก็คงยอมได้ยาก แต่ความพีคมันอยู่หลังจากที่เข็มนาฬิกาวนไปที่เลขเจ็ดแสงแดด กลุ่มก้อนของเมฆหมอก ค่อย ๆปกคลุมทิวเขา บวกกับกลิ่นของเม็ดฝนที่ถูกสูดผ่านสองรูจมูกเข้าไปในปอดจนล้นปรี่ เป็นความสุขที่ไม่ต้องการคำอธิบายใด ๆ แต่หัวใจ … กลับพองโต
เป็นค่ำคืนและช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ได้เจออากาศหนาว ๆ ฉ่ำใจ มองไปทางไหนก้เขียวชื่นใจไปเสียหมด ขับรถจากในเมืองขึ้นมาแค่ชั่วโมงหน่อย ๆ ก็ฟินกันได้ขนาดนี้แล้ว นี่แหละผมถึงรักเชียงใหม่
ถัดมาเข้าสู่วันที่สามของทริป เราจะขยับไปไม่ไกล ยังอยู่ในแม่ริมต่อ แต่เป็นแถบโป่งแยง แวะกินกาแฟวิวภูเขา ที่ Jungle De Cafe ดื่มด่ำบรรยากาศธรรมชาติอย่างเต็มที่
โดยที่นี่นั้นยังเป็นที่ตั้งของ Pongyang Jungle Coaster & Zipline กิจกรรมแอดเวนเจอร์สุดมันส์ ที่โดดเด่นด้วยการเล่นซิปไลน์ ห้อยโหนโจนทะยานไปยังจุดต่าง ๆ กลางป่า พร้อมความท้าทายใหม่ ๆ กับการไต่เชือก โรยตัว ปีนบันได หรือถีบจักรยานลอยฟ้า ก็ทำให้เราได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
อีกสิ่งที่ห้ามพลาดคือการเล่น Coaster ที่เราสามารถบังคับเองได้ง่าย ๆ บอกเลยว่าสนุกมากกกกกกก
เราเล่นกันจนถึงบ่ายแก่ ๆ ก็ได้เวลาเข้าที่พักแล้ว ซึ่งแถบโป่งแยงก็มีหลายโลเคชั่นให้เลือก ส่วนเรานั้นจิ้มเป้าไปที่ Mori Natural Farm ฟาร์มสเตย์ สไตล์ย้อนยุคของไทยผสมผสานกับความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างน่ารักลงตัว
โมริ เนเชอรัล ฟาร์ม เป็นโมเดลที่อยู่อาศัยที่ผสมผสานสิ่งปลูกสร้างหลากสัญชาติมาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน สร้างตามวัสดุที่มีและหาได้ง่าย ที่นี่มีทั้งบ้านหลองข้าวเรือนยกสูงแบบ Thai Urban บ้านเรียวกัง บ้านพักสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม มีทั้งมุมจิบชาและบ่อแช่ออนเซ็นส่วนตัว บ้านคอจเทจบ้านตากอากาศสไตล์คันทรีฉบับยุโรปที่มีความน่ารักกุ๊กกิ๊กร่วมสมัย
ฟาร์มแห่งนี้ถูกเนรมิตขึ้นโดยคุณปอ วิศวกรหนุ่มใหญ่ และคุณเมี่ยง อดีตแอร์โอสเตสสาว ร่วมกันบ่มเพาะโมริด้วยความรักและความเอาใจใส่อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องพัก หรือแม้แต่อาหารการกินที่ใช้ผักปลอดสารที่ปลูกเองและวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยม
ไฮไลต์ของที่นี่ นั่นก็คือเหล่าน้องหมาขนปุยสายพันธุ์อากิตะ สุนัขดั้งเดิมจากญี่ปุ่น และเจ้าแม็กซ์ โกลเด้นผู้ใจดีและขี้เล่น ที่พร้อมจะมอบความสุขและรอยยิ้มให้กับผู้มาเยือน ที่นี่จึงเป็นอีกที่พักแนวฟาร์มสเตย์ที่เรารักมากที่สุด
หลังจากโบกมือลาโมริ ฟาร์ม หัวใจก็หม่นหมอง เพราะคิดถึงบรรยากาศความน่ารักและความเงียบสงบของที่นั่น จากแม่ริมเราขับย้อนขึ้นไปหน่อยทางแม่แตง เพื่อเอาตัวเองไปให้ธรรมชาติและสายน้ำโอบกอด โดยค่ำคืนสุดท้ายของเราคือสถานที่แห่งธาราบำบัด ที่นี่ … “บ้านธารกล่อม”
ให้สายธารกระซิบกล่อมจนผลอยหลับ ให้ผืนป่ากระชับความรักให้ชุ่มฉ่ำกว่าเดิม ไม่ต้องบินไปถึงบาหลี ก็สามารถแทรกซึมกับผืนป่าและสายน้ำ พร้อมสัมผัสที่พักสไตล์ไม้ไผ่ได้อย่างจุใจ ที่บ้านธารกล่อม นี่เอง
ปลีกวิเวกมานอนเอกเขนกฟังเสียงลำธารขับขานแบบเซอร์ราวด์ กับบ้านพักดีไซน์เก๋หลากสไตล์ ท่ามกลางพงไพรอันอุดมสมบูรณ์ ฤดูฝนแบบนี้ ยามเช้าจะได้พบกับทะเลหมอกลอยคลุ้งเอื่อย ๆ เหนือทิวเขา โดยมีทุ่งนาขนาบอยู่เบื้องล่าง
จุดเด่นของบ้านธารกล่อม คงจะเป็นการออกแบบแปลนห้องน้ำในแต่ละหลัง ที่มีความเซ็กซี่นิด ๆ โอเพ่นแอร์หน่อย ๆ วัสดุที่ใช้ก็ล้วนกลมกลืนและเป็นมิตรกับธรรมชาติ แต่ยังสามารถให้ความรู้สึกหรูหราได้ในคราวเดียว ผมจึงขอนิยามว่าที่นี่คือ Local Luxury Homestay ที่ควรมานอนสักครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าจะมีครั้งที่ 2 3 4 5 ตามมาได้ไม่ยาก
ไฮไลท์เด็ดคือบ้านไม้ไผ่ หลังที่สร้างเสร็จล่าสุดให้อารมณ์เหมือนนอนในรังนก มองออกไปเห็นผืนป่าเขียวขจี เบื้องล่างเป็นลำธารและโขดหินน้อยใหญ่ เป็นหลังที่เหมาะสำหรับคู่รักเป็นที่สุด ส่วนหลังอื่น ๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเพียงดินและบ้านหินอาบจันทร์ ส่วนคนที่ชอบฟีลแคมป์กระโจม เขาก็มีให้เลือกด้วย
บ่ายออกไปเล่นน้ำถ่ายรูป ตกค่ำก็มานั่งดื่มด่ำความฉ่ำเย็นของสภาพอากาศ โดยมีกลุ่มควันหอมฟุ้งจากเตาหมูกระทะเป็นเพื่อนยามหิว แน่ล่ะ บรรยากาศแบบนี้ หมูกระทะคือนิพพาน ที่ชิลล์ไปกว่านั้นคือการได้ใช้เวลานั่งพูดคุยกับเจ้าของ ที่มักจะอยู่ดูแลด้วยตัวเอง แลกเปลี่ยนมุมมองชีวิต ความคิดที่มีต่อธรรมชาติและถิ่นเกิด พลางจิบไวน์รสเยี่ยม ทำให้อรรถรสของการสนทนา มีมากเกินกว่าที่จะจินตนาการถึง
มานอนให้ River ช่วย Whisper ข้างหูดูสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ต้องพึ่งพาวัตถุใด มากไปกว่าหัวใจที่สงบ …
วันสุดท้ายเราขอนอนซึมซับความสุข แล้วตื่นสาย ๆ ก่อนกลับเข้าเมืองไปขึ้นเครื่อง เราแวะไปถ่ายรูปเล่นกันที่สวนสนแม่แตง ที่กว้างใหญ่มาก มีมุมให้ครีเอทถ่ายรูปคู่กันสนุกเลยล่ะ
ไม่ต้องรีบร้อน ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน แถมไม่ต้องเสียค่าเข้าอีกด้วย แต่ยังไงก็ต้องรักษาความสะอาดด้วยนะ
นี่เป็นทริปเชียงใหม่ที่ชิลล์ที่สุด ไม่ต้องเที่ยวสถานที่ให้มาก เน้นไปกับที่พักสวย ๆ รายล้อมด้วยธรรมชาติ เพื่อเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นได้มากที่สุด เป็นความผ่อนคลายของเราสองคนโดยแท้จริง ถ้าถ้าจะเรียกสิ่งนี้ว่าความสุข มันก็คงไม่ผิดนัก